
แม้จะมีความกังวลด้านเศรษฐกิจ แต่คนไทยกลับให้ความสำคัญกับการบริโภคอย่างยั่งยืนมากขึ้น
ผู้บริโภคชาวไทยกว่า 95% ระบุว่าได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งเลือกผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11.7% ซึ่งตัวเลขสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกและเอเชียแปซิฟิก
ในปี 2025 พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกซื้อสินค้าที่มีความยั่งยืนและการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม เพราะไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญกับผลกำไรแต่ยังต้องคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมสังคมที่ยุติธรรม และการปฏิบัติตามจริยธรรมที่ดี หากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว
1.ความโปร่งใสและจริยธรรมในกระบวนการผลิต
ผู้บริโภคในปี 2025 จะมองหาแบรนด์ที่สามารถให้ข้อมูลอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและแหล่งที่มาของวัสดุ ทั้งนี้ธุรกิจควรปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัสดุและกระบวนการที่ไม่ทำลายโลก
2.การเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืนและการรีไซเคิล
ธุรกิจที่เน้นการผลิตสินค้าจากวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้หรือวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคที่มากขึ้น การใช้วัสดุธรรมชาติที่ยั่งยืน เช่น พลาสติกย่อยสลายได้ สิ่งทอจากการรีไซเคิล หรือวัสดุที่ผลิตจากพลังงานสะอาด จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์
3.แนวทาง Zero Waste และการลดการใช้พลาสติก
ผู้บริโภคต้องการหลีกเลี่ยงการใช้สินค้าที่สร้างขยะพลาสติกจำนวนมาก การลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ จะช่วยให้ธุรกิจของคุณยืนอยู่ในกลุ่มที่มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมในการลดมลพิษจากขยะ
4.การส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นและการค้าอย่างยุติธรรม
การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและการเลือกซื้อสินค้าที่มีการรับรองการค้าอย่างยุติธรรม (Fair Trade) จะเป็นส่วนสำคัญในพฤติกรรมของผู้บริโภคในปี 2025 ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่น จะได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมให้ดีขึ้นผ่านการซื้อสินค้าที่มีการสร้างมูลค่าในชุมชน
5.การเน้นความยั่งยืนในการตลาด
ธุรกิจที่มีการโปรโมทและสื่อสารเรื่องความยั่งยืนอย่างโปร่งใสจะสามารถดึงดูดผู้บริโภคได้ดีขึ้น ผู้บริโภคต้องการเห็นความจริงใจและความพยายามของธุรกิจในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การสื่อสารที่เน้นการปฏิบัติตามหลักการ ESG (Environmental, Social, Governance) จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีจากลูกค้า
6.การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ธุรกิจสามารถสร้างความแตกต่างได้ เช่น การใช้พลังงานทดแทนในการผลิต หรือการเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดการปล่อยมลพิษ การสนับสนุนการใช้สินค้าจากพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม
7.การสร้างความตระหนักรู้ในสังคม
ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและสร้างความรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนจะช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงผลกระทบจากการบริโภคสินค้าที่ไม่ยั่งยืนและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้า ธุรกิจสามารถสร้างค่านิยมเชิงบวกโดยการสนับสนุนโครงการเพื่อการศึกษาและการพัฒนาที่ยั่งยืนในชุมชน
8.การสนับสนุนการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน
การเลือกซื้อสินค้าที่ช่วยสนับสนุนวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น สินค้าปลอดสารพิษ, เสื้อผ้าจากวัสดุที่ยั่งยืน หรือการใช้บริการที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นอีกหนึ่งความต้องการหลักของผู้บริโภค ธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการนี้จะได้รับการยอมรับและสร้างความจงรักภักดีจากลูกค้าตลอดไป
ธุรกิจที่ต้องการเติบโตและประสบความสำเร็จในยุค 2025 ควรมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ธุรกิจในระยะยาวที่มุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีจริยธรรม
Sources:
www.pwc.com
Kommentare